พี.เจ. แอคเค้าท์ติ้ง แอนด์ ลอว์เฟิร์ม > บริการอื่นๆ > นิติกรรมสัญญา

นิติกรรมสัญญา

นิติกรรม คือ การกระทำของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัครและมุ่งต่อผลในกฎหมาย ที่จะเกิดขึ้นเพื่อการก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ สงวนสิทธิ และระงับซึ่งสิทธิ

องค์ประกอบของนิติกรรม
การกระทำที่เป็นนิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์ผูกพันกันตามกฎหมายจึงต้องประกอบด้วยสาระสำคัญต่างๆดังนี้

1. ต้องมีการแสดงเจตนา
หมายความว่า การกระทำโดยการแสดงออกทางกริยาท่าทาง ทางวาจาหรือทางลายลักษณ์อักษร ลักษณะนี้เป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง การนิ่งเฉยย่อมไม่ถือเป็นการแสดงเจตนาเพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดได้ อย่างไรก็ดีการนิ่งเฉยหรือการไม่แสดงเจตนาในบางเรื่องก็ถือเป็นการแสดงเจตนาได้ เช่น การเช่าอาคารเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่ายังคงครอบครองอาคารต่อไป ส่วนผู้ให้เช่าทราบและไม่ทักท้วงผู้เช่า กฎหมายถือว่าผู้ให้เช่าและผู้เช่าได้ทำสัญญาเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา เป็นต้น

2. ต้องกระทำด้วยความสมัครใจ
หมายความว่า การกระทำที่จะผูกพันบังคับกันได้ต้องเกิดจากการตัดสินใจที่จะกระทำด้วยตนเองมิใช่ถูกบังคับให้ทำ กรณีนิติกรรมเกิดจากการข่มขู่ กลฉ้อฉล หรือความสำคัญผิด ทำให้นิติกรรมเสื่อมเสียไปหรือไม่สมบูรณ์

3. ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
หมายความว่า การกระทำที่จะผูกพันบังคับได้ตามกฎหมายนั้นจะต้องเป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี มิฉะนั้นนิติกรรมที่มีเจตนาทำขึ้นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย

4. ต้องการก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมาย
หมายความว่า มุ่งที่จะผูกนิติสัมพันธ์ การกระทำที่ไม่จริงจังหรือล้อเล่นย่อมไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายแต่อย่างใด นอกจากนี้ นิติกรรมต้องเป็นผลผูกพันระหว่างบุคคล หมายถึง ต้องก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างบุคคลไม่ว่าจะเป็นความผูกพันระหว่างบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเท่านั้น

5. ต้องก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของสิทธิ การเคลื่อนไหวของสิทธิตามกฎหมายมี 5 ประการ ดังนี้
ก. ก่อสิทธิ หมายถึง การทำให้สิทธิเกิดขึ้น เช่น สัญญาซื้อขายสินค้า เป็นต้น
ข. เปลี่ยนแปลงสิทธิ หมายถึง การทำให้สิทธิที่มีอยู่แล้วเปลี่ยนแปลงไป เช่น สัญญาซื้อขายสินค้าซึ่งทำให้เกิดสิทธินั้น ผู้ซื้อขอเปลี่ยนแปลงการชำระราคาสินค้าหรือข้อตกลงอื่น เป็นต้น
ค. โอนสิทธิ หมายถึง การมอบสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วให้กับบุคคลอื่น เช่น ผู้ขายซึ่งมีสิทธิได้รับชำระราคาสินค้าตามสัญญาซื้อขาย ไม่ยอมรับราคาสินค้าตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่กลับโอนสิทธิไปให้เจ้าหนี้ที่ตนไปกู้ยืมมา โดยทำตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมาย เช่นนี้ทำให้สิทธิของผู้ขายโอนไปยังเจ้าหนี้ของผู้ขายแทน เป็นต้น
ง. สงวนสิทธิ หมายถึง การทำให้สิทธิที่มีอยู่แล้วมีความมั่นคงมากขึ้นไม่เสียไป เช่น การปิดป้ายที่มีข้อความว่า “เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น” ปักไว้ห้างหรืออาคารสถานที่ต่างๆนั้น เป็นการแสดงถึงสิทธิของเจ้าของ เป็นต้น
จ. ระงับสิทธิ หมายถึง การทำให้สิทธิของตนที่มีอยู่แล้วสิ้นสุดลง เช่น การบอกเลิกสัญญาซื้อขาย หรือผู้ขายได้รับชำระค่าสินค้าจากผู้ซื้อ การปลดหนี้ให้กับลูกหนี้ เหล่านี้ย่อมทำให้สิทธิเดิมที่มีอยู่แล้วสิ้นสุดลง เป็นต้น

ความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม
นิติกรรมจะมีผลสมบูรณ์ ต้องเป็นการกระทำที่มีองค์ประกอบครบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่นิติกรรมนั้นอาจมีข้อบกพร่องที่กฎหมายกำหนดให้นิติกรรมที่ทำนั้นมีผลไม่สมบูรณ์ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
1. ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม
บุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา ยกเว้น บุคคลผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา ได้แก่
– ผู้เยาว์คือ บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กล่าวคืออายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ การทำนิติกรรมต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ถ้าผู้เยาว์ทำนิติกรรมโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้เยาว์ทำนิติกรรมใดโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนผลก็คือนิติกรรมนั้นจะตกเป็น “โมฆียะกรรม
– คนไร้ความสามารถ คือคนวิกลจริตที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถทำจึงตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกระทำโดยลำพังหรือได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล
– คนเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องทางกาย จิตใจ หรือความประพฤติ จนไม่อาจจัดการงานของตนเองได้ด้วยเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด สามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพังตนเองและไม่ต้องมีใครให้ความยินยอม นิติกรรมก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย มีข้อยกเว้นว่านิติกรรมบางประเภทที่คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนจึงจะทำนิติกรรมได้ หากนิติกรรมที่คนเสมือนไร้ความสามารถทำจะต้องตกเป็นโมฆียะ

2. วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
นิติกรรมทุกชนิดจะต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเสมอ หากไม่มีวัตถุประสงค์ย่อมไม่เป็นนิติกรรม ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ วัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่
– วัตถุประสงค์ที่ต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย เช่น การว่าจ้างให้ฆ่าคน การให้กู้ยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
– วัตถุประสงค์ที่เป็นการพ้นวิสัย คือ นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่มีผู้ใดจะปฏิบัติได้ เช่น สัญญาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ เป็นต้น
– วัตถุประสงค์ที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน คือ นิติกรรมที่ขัดต่อจริยธรรมโดยพิจารณาจากความรู้สึกของคนทั่วไป เช่น สัญญาฮั้วการประมูลหลอกลวงราชการ สัญญาจ้างหญิงให้มารับจ้างเป็นโสเภณี เป็นต้น

3. แบบของนิติกรรม
ในนิติกรรมบางประเภทกฎหมายกำหนดแบบของการทำนิติกรรมเอาไว้ เช่น สัญญาซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำหนดให้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ถ้าไม่ทำตามกฎหมายกำหนด สัญญาถือเป็นโมฆะ

4. การแสดงเจตนาของบุคคลในการทำนิติกรรม
การแสดงเจตนาบกพร่องทำให้นิติกรรมนั้นมีผลไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจตกเป็นโมฆะกรรม หรือตกเป็นโมฆียะกรรม เกิดจากการทำนิติกรรมที่มีเหตุบกพร่องแตกต่างกัน ในกรณีต่อไปนี้
การแสดงเจตนาบกพร่องที่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ หมายถึงนิติกรรมที่ทำขึ้นแล้วเสียเปล่าตั้งแต่ต้น ไม่มีผลบังคับในทางกฎหมาย เสมือนกับไม่มีการทำนิติกรรมนั้นเลย ได้แก่
– การแสดงเจตนาซ่อนเร้น เป็นการแสดงเจตนาโดยที่ตนเองมิได้ตั้งใจผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมา โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริง นิติกรรมที่มีการแสดงเจตนาในลักษณะนี้ตกเป็นโมฆะ แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริง นิติกรรมนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์
– การแสดงเจตนาลวง คือ การแสดงเจตนาโดยสมรู้หรือสมคบกับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่นให้เข้าใจผิดว่าคู่กรณีได้มีการทำนิติกรรมขึ้น
– นิติกรรมอำพราง

สัญญา
สัญญา คือ นิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนาเสนอและสนองตรงกัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้น ทั้งนี้สัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ เกิดความผูกพันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมฟ้องร้องให้ปฏิบัติตามสัญญารวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายที่ผิดสัญญาได้

สัญญาซื้อขาย
สัญญาซื้อขาย คือ สัญญาที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย
สาระสำคัญของสัญญาซื้อขายคือ
– มีคู่สัญญา 2 ฝ่าย
– เป็นสัญญาต่างตอบแทน
– เป็นสัญญาที่ผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้ผู้ซื้อ
– เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อตกลงให้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขาย
ประเภทของสัญญา
1. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็จขาด คู่สัญญาได้ตกลงกันในสาระสำคัญของสัญญาจนเสร็จเด็ดขายแล้ว
2. สัญญาจะซื้อจะขาย หมายถึงสัญญาที่คู่สัญญามีเจตนาจะทำการซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่
3. คำมั่นในการซื้อขาย หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้คำมั่น แสดงเจตนาฝ่ายเดียวให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้รับคำมั่น โดยผูกพันตนเอง ซึ่งหากผู้รับคำมั่นได้แสดงความจำนงก็มีผลให้เกิดสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หรือสัญญาจะซื้อจะขายแล้วแต่กรณี

สัญญาเช่าทรัพย์
หมายถึงสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่าตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและผู้้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
สาระสำคัญของสัญญาเช่า
– เป็นสัญญาต่างตอบแทน
– มีวัตถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์สิน
– ผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด
– ผู้เช่าตกลงให้ค่าเช่าเป็นค่าตอบแทน
– สัญญาเช่าทรัพย์เป็นสิทธิ์เฉพาะตัวของผู้เช่า

สัญญาเช่าซื้อ
หมายถึง สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเรียกว่าผู้ให้เช่าซื้อเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อ โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าซื้อต้องจ่ายเงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวดๆ จนครบตามข้อตกลง
สาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ
– ผู้ให้เช่าซื้อเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อ
– เป็นสัญญาที่ผู้ให้เช่าซื้อนำทรัพย์สินให้เช่า
– ผู้ให้เช่าซื้อมีคำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น

สัญญาขายฝาก
หมาถึงเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์แห่งความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อตกลงในขณะทำสัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในกำหนดเวลาเท่าใด
ลักษณะสำคัญของสัญญาขายฝาก
– สัญญาขายฝากเป็นสัญญาซื้อขาย ซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ ทั้งนี้ผู้ขายที่มีสิทธิไถ่คืนหมายรวมถึง ทายาท และบุคคลอื่นที่ระบุไว้ในสัญญา
– กำหนดระยะการไถ่ทรัพย์สิ้นจะกำหนดระยะเวลาเท่าใดก็ได้ แต่ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
– สินไถ่เป็นไปตามที่ตกลง เว้นแต่ไม่ได้ตกลงให้ถือราคาขาย แต่หากสินไถ่ถูกตั้งไว้สูงเกินกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงในอัตราเกินร้อยละ 15 ต่อปี ให้ไถ่เฉพาะราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี
– ถ้าตกลงกันว่าห้ามโอน ก็เป็นไปตามตกลง ถ้าไม่ได้ระบุไว้ผู้รับซื้อฝากก็โอนทรัพย์สินไปได้

สัญญายืม
หมายถึง สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้อีกบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงจะคือทรัพย์สินนั้น
การกู้ยืมเงิน เป็นส่วนหนึ่งของสัญญายืม มีสาระสำคัญ
– มีการกำหนดค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ย หรือไม่มีการกำหนดก็ได้ แต่การคิดดอกเบี้ยต้องไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด ปัจจุบันกฎหมายกำหนดการคิดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี
– สัญญาจะสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบเงินให้แก่ผู้ยืม
– วัตถุแห่งสัญญาเป็นเงิน
– เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในเงินจากผู้ให้ยืมไปยังผู้ยืม
– การยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปต้องต้องมีหลักฐานลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ