การหลอกให้ลงทุน และการผิดสัญญา แม้ว่าทั้งสองกรณีจะมีผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับประโยชน์ตามที่คาดหวังไว้ แต่ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของลักษณะทางกฎหมายและผลที่เกิดขึ้น ดังนี้
- การหลอกให้ลงทุน (การฉ้อโกง)
– ลักษณะ : การหลอกให้ลงทุน หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งใช้กลอุบายหรือการหลอกลวงเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อและยินยอมมอบเงินหรือทรัพย์สินให้ โดยปกติผู้กระทำจะมีเจตนาทุจริตตั้งแต่เริ่มต้น มักเกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูลสำคัญ การแสดงข้อความเท็จ หรือการแสร้งทำว่ามีโครงการลงทุนที่น่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วไม่มีเจตนาจะทำตามที่กล่าวอ้าง
– ความผิดทางกฎหมาย : กรณีนี้ถือเป็นความผิดทางอาญาภายใต้ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งการกระทำโดยหลอกลวงให้บุคคลหนึ่งเสียทรัพย์จะมีโทษทั้งจำคุกและปรับ
– เจตนา : การหลอกให้ลงทุนมักมีเจตนาหลอกลวงและทุจริตตั้งแต่ต้น ผู้กระทำไม่ได้ตั้งใจที่จะคืนเงินหรือทำตามสัญญาที่ทำไว้
- การผิดสัญญา
– ลักษณะ : การผิดสัญญาเกิดขึ้นเมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือพันธะที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งการผิดสัญญาอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความไม่สามารถทำตามสัญญาได้ตามที่ตกลง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องมีเจตนาทุจริตตั้งแต่เริ่มต้น
– ความผิดทางกฎหมาย : การผิดสัญญาเป็นเรื่องของการผิดตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และคู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
– เจตนา : ในกรณีของการผิดสัญญา คู่สัญญาอาจมีเจตนาทำตามสัญญาในตอนแรก แต่ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งไม่สามารถทำตามสัญญาได้ในภายหลัง จึงไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงหรือทุจริตตั้งแต่ต้น