พี.เจ. แอคเค้าท์ติ้ง แอนด์ ลอว์เฟิร์ม > บริการอื่นๆ > กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง องค์กรของนายจ้าง และองค์กรของลูกจ้าง โดยเป็นมาตรการที่กำหนดให้นายจ้าง ลูกจ้าง และองค์กรดังกล่าวต้องปฏิบัติต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้การจ้างงาน การใช้แรงงาน การประกอบกิจการ และความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง และลูกจ้างเป็นไปโดยเหมาะสม ต่างได้รับประโยชน์

หลักเกณฑ์ของสัญญาจ้างแรงงาน
1.       ลูกจ้างทำงานตามคำสั่งภายใต้การควบคุม และการบังคับบัญชาโดยนายจ้าง
2.       มีการจ่ายค่าจ้างตอบแทนการทำงาน
ทั้งนี้หากลูกจ้างปฏิบัติงานได้อย่างเป็นอิสระไม่อยู่ในใต้บังคับบัญชาของนางจ้าง สัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้างไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน แต่เป็นสัญญาจ้างทำของ

หลักประกันการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน
1. ห้ามนายจ้างเรียกรับหลักประกันการทำงาน/หลักประกันความเสียหายในการทำงาน
2. เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพงาน เกี่ยวกับการเงินหรือทรัพยสิน หรืออาจก่อความเสียหายแก่นายจ้าง
3. หลักประกันมี 3 ประเภท
– เงิน ต้องฝากธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น นายจ้างต้องแจ้งบัญชีให้ลกูจ้างทราบภายใน 7 วัน
– ทรัพย์สิน มีได้เฉพาะสมุดเงินฝากประจำธนาคาร หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
– บุคคล
4. ประกาศกระทรวง ฯ เรื่อง หลกัเกณฑ์และวิธีดการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. 2551 ข้อ 11 ให้รวมมูลค่าหลักประกันทุกประเภทแล้วต้องไม่เกิน 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลกูจ้างได้รับ
5. ประกาศฯ ข้อ 12 ให้นายจ้างดำเนินการให้หลักประกันที่มีมูลค่าเกินต้องลดลงไม่เกิน 60 เท่า ภายในสามสิบวัน
6. นายจ้างต้องคืนหลักประกันพร้อมดอกเบี้ยให้ลูกจา้งภายใน 7 วัน นับแต่เลิกจ้าง ลาออก หรือสัญญาประกันสิ้นอายุ

ความรับผิดตามสัญญาประกันการทำงานหรือความเสียหายในการทำงาน
1. พิจารณาจากวันที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นสำคัญ
หากวันที่ก่อให้เกิดความเสียหายก่อนวันประกาศฯ มีผลบังคับใช้ให้เป็นไปตามสัญญา แต่หากวันที่ก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังก็ต้องบังคับไปตามหลักเกณฑ์ของประกาศฯฉบับดังกล่าว เช่น
– การค้ำประกันเป็นสิทธิในทางแพ่ง ต้องใช้กฎหมายในขณะเกิดเหตุหรือเกิดความเสียหาย
-ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง นายจ้างจะเรียกหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายจากลูกจ้างหรือให้บุคคลค้ำประกันไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ก็ต่อเมื่อเความเสียหายเกิดก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเรียกร้องหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ประกาศในวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 ดังนั้นหากก่อนวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ นายจ้างสามารถบังคับตามสัญญาค้ำประกัน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15904/2557)
– สัญญาค้ำประกันแม้จะทำกันก่อนประกาศกระทรวงแรงงานเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเรียกร้องหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง แต่เมื่อประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งเกิดขึ้นภายหลังก็ต้องบังคับไปตามหลักเกณฑ์ของประกาศฉบับดังกล่าว(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12640/2557)
-สัญญาค้ำประกันจะตกเป็นโมฆะ หากการทำสัญญาค้ำประกันการทำงานกำหนดวงเงินค้ำประกันที่นายจ้างเรียกให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2782/2560)
2. หลักประกันที่เป็นเงินสดต้องนำฝากธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นโดยมีบัญชีเงินฝากของลูกจ้างแต่ละคน
3. ลักษณะหรือสภาพของงานที่นายจ้างจะเรียกหรือรับหลักประกันได้ต้องเป็นไปตามประกาศฯโดยเฉพาะต้องเกี่ยวข้องกับเงินหรือทรัพยสินของนายจ้าง
4. การตกลงเป็นอย่างอื่นนอกจากกฎหมายกำหนดแม้ลูกจ้างจะยินยอมก็ทำไม่ได้
5. ต้องตีความสัญญาประการการทำงานต้องเคร่งครัด เช่น
– หากประกันลูกจ้างตำแหน่งใดแล้ว หากลูกจ้างย้ายไปทำงานตำแหน่งอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงกว่าที่ระบุไว้ในสัญญาประกัน ผู้ประกันไม่ต้องรับผิดในตำแหน่งงานใหม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15904/2553) นายจ้างควรทำสัญญาฉบับใหม่ทุกครั้งที่มีการโยกย้าย
– หากสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าผู้ประกันยอมรับผิดในหนี้ที่ลูกจ้างก่อให้เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญาประกัน ผู้ประกันไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันทำสัญญา (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13582/2548)
6. การทำสัญญาประนีประนอมทำให้สัญญาประกันเดิมสิ้นผลไป สัญญาฉบับใหม่ไม่ตกอยู่ภายใตบังคับประกาศกระทรวงแรงงาน
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำใหสัญญาค้ำประกันการทำงานตามประกาศสิ้นผลไป สัญญาค้ำประกันที่ทำ ขึ้นหลังลูกจางถูกเลิกจ้างแลวจึงเป็นการค้ำประกันการใช้หนี้ทั่วไป ไม่อยู่ภายใตบังคับของประกาศกระทรวง
7. จะบังคับสัญญาต้องปรากฎความเสียหายจริง
หากนายจ้างไม่ได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิหักเงินประกันไปชดใชค่าเสียหายแกนายจ้าง นายจ้างจะอาศัย ขอบังคับเกี่ยวกับการทำงาน คำสั่ง หรือประกาศของนายจ้างมาหักเงินประกันการทำงานมาหักเงิน ดังกล่าวโดยไม่มีความเสียหายไม่ได้
–          ลูกจ้างยินยอมรับสินค้าเกินสต็อก นายจ้างจึงอาศัยประการการหักเงินและรายงานสินขายขาด-เกินเพื่อหักเงินจากลูกจ้างโดยนายจ้างไม่ได้รับความเสียหายไม่ได้(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8029/2544)

ค่าชดเชย
ค่าชดเชย หมายถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือไปจากเงินประเภทอื่น
มาตรา 118  ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง  ดังต่อไปนี้
(1) ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
(2) ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
(3) ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
(4) ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
(5) ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี ขึ้นไป  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน

องค์ประกอบที่ถือเป็นข้อยกเว้น ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
กรณี ตาม ม.118 วรรค 3 , 4
1. สัญญาจ้างมีกำหนดเวลาจ้างแน่นอน และ นายจ้างเลิกจ้างตามกำหนดเวลานั้น
2. เป็นการจ้างเพื่อทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
ก. โครงการเฉพาะ ที่มิใช่ งานปกติของธุรกิจ หรือ การค้า ของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือ
ข. งานที่มีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน หรือ
ค. งานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น และ
3. งานต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี และนายจ้าง ลูกจ้าง ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง
กรณี นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อยกเว้นนี้ จะต้องครบองค์ประกอบทั้งหมด
2. ตามม. 119  นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม หมายถึง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ หรือแม้มีสาเหตุอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่จำเป็นหรือสมควรจนถึงกับต้องเลิกจ้างลูกจ้างนั้น
การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่จะต้องพิจารณาจากสาเหตุของการเลิกจ้างเป็นสำคัญ
ดังนั้น การที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่จ่ายค่าชดเชยจะถือเป็นเด็ดขาดว่านายเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้ เพราะความรับผิดในเรื่องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยเป็นเรื่องผลของการเลิกจ้างไม่สาเหตุของการเลิกจ้าง