พี.เจ. แอคเค้าท์ติ้ง แอนด์ ลอว์เฟิร์ม > คดีแพ่งและพาณิชย์ > มรดก

มรดก

มรดก มีความสำคัญและจำเป็นก็ต่อเมื่อสูญเสียบุคคลในครอบครัวไป เมื่อเจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาท
มรดก คือ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายที่มีอยู่ก่อนถึงแก่ความตาย รวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เช่น กรรมสิทธิ์ในที่ดิน รถยนต์ คอนโด เงินฝากในธนาคาร ทองคำ หรือทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นต้น

การตกทอดแห่งมรดก (กรณีไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้)
เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มรดกของบุคคลนั้นจะตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม ทันทีที่ตาย ซึ่งทายาทโดยธรรม ได้แก่ บุคคลที่ได้รับมรดกโดยผลของกฎหมาย เป็นบุคคลที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าหากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกมรดกให้แก่บุคคลใด หรือทำพินัยกรรมแล้วแต่มีทรัพย์มรดกเหลืออยู่ บุคคลผู้เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมมีสิทธิรับมรดกที่เหลืออยู่ของผู้ตายได้

ทายาทโดยธรรมนั้นมี 6 ลำดับ ดังนี้
1. ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื้อ
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีชีวิตอยู่ก็เป็นทายาทโดยธรรม

การแบ่งมรดกในลำดับชั้นต่าง ๆ
ในกรณีเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติทั้ง 6 ลำดับ ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่ว่าทายาททั้ง 6 ลำดับจะมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกทุกคน เพราะหากทายาทลำดับก่อนยังมีชีวิตอยู่ ทายาทในลำดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิเข้ารับมรดกของเจ้ามรดก (มาตรา 1630 วรรคหนึ่ง)
แต่หากทายาทลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่ และคู่สมรถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายยังมีชีวิตอยู่ ทายาทลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 และคู่สมรส มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกของเจ้ามรดกเท่าๆกัน

การตกทอดแห่งมรดก (กรณีทำพินัยกรรม)
เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตาย นอกจากทรัพย์มรดกจะตกทอดแก่ทายาทตามกฎหมายซึ่งเรียกว่า “ทายาทโดยธรรม” แล้ว ทรัพย์มรดกของผู้ตายยังตกทอด ไปยังบุคคลอื่นได้โดยทางพินัยกรรมซึ่งเรียกว่า “ผู้รับพินัยกรรม”

เมื่อผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้ ต้องแบ่งปันทรัพย์ตามข้อกำหนดในพินัยกรรม แต่หากผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมไว้ หรือทำพินัยกรรมทำไว้ไม่ถูกต้องและใช้ไม่ได้ ผลคือ ทรัพย์มรดกทั้งหมดจะตกแก่แก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายให้ความสำคัญแก่ผู้รับพินัยกรรมมากกว่าทายาทโดยธรรม เพราะโดยสภาพของพินัยกรรมเป็นการแสดงเจตนาหรือเป็นการสั่งเสียไว้ก่อนตายของเจ้ามรดก ดังนั้นผู้รับพินับกรรมจึงมีสิทธิรับมรดกก่อนทายาทโดยธรรม

ในเรื่องการพินัยกรรมนั้น กฎหมายเคารพหลักการเจตนาของบุคคลในการแสดงออกเพื่อเป็นหลักประกันให้เจ้ามรดกเกิดความมั่นใจว่าเมื่อตนเองถึงแก่ความตายไปแล้ว เจตนาที่แสดงไว้เผื่อตายในระหว่างมีชีวิตจะได้รับการยอมรับปฏิบัติตามโดยครบถ้วน โดยที่ผู้รับพินัยกรรมเป็นทายาทที่มีความสำคัญ ฉะนั้น เพื่อให้เป็นการแน่นอนว่าคำสั่งเสียเผื่อตายของเจ้ามรดกที่แสดงไว้ในพินัยกรรมนั้นเป็นเจตนาที่แท้จริงของผู้ตาย กฎหมายจึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์การทำพินัยกรรมไว้เป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากการทำนิติกรรมสัญญาอื่นๆ ทั่วไป และหากพินัยกรรมฉบับใดกระทำขึ้นโดยผิดหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ พินัยกรรมฉบับนั้นจะไม่มีผลบังคับ

การร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
เมื่อเจ้ามรดกตาย การแบ่งมรดกอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ จึงจำเป็นจะต้องมีบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้รวบรวมทรัพย์สินของเจ้ามรดกเพื่อชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของเจ้ามรดก หรือแบ่งปันทรัพย์สินให้กับทายาท บุคคลนั้นคือ ผู้จัดการมรดก โดยผู้จัดการมรดกเปรียบเสมือนเป็นผู้แทนตามกฎหมายของทายาทเจ้ามรดกทุกคน

ความสำคัญของการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก คือ กรณีต้องการแบ่งปันทรัพย์สินของเจ้ามรดก เช่น ต้องการแบ่งโฉนดที่ดินกับทายาทโดยธรรม ต้องการแบ่งกรรมสิทธิ์รถยนต์ ต้องการถอนเงินในบัญชีของเจ้ามรดก จะไม่สามารถทำได้เลย หากยังไม่ได้ร้องขอศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดกก่อน ดังนั้น กระบวนการร้องขอศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจึงมีความสำคัญ เพื่อให้มีผู้จัดการมรดกในการทำหน้าที่จัดสรรทรัพย์มรดกแทนทายาทที่มีสิทธิรับมรดกคนอื่นๆ

เอกสารที่ต้องนำไปประกอบในการขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลไทย
1.หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น โฉนดที่ดิน คู่มือการจดทะเบียนรถ สมุดบัญชีธนาคาร เอกสารทรัพย์สินอื่นๆ
2.ใบมรณะบัตรของเจ้ามรดกและทายาทที่ตาย
3.สำเนาทะเบียนบ้านผู้ตาย
4.ทะเบียนสมรสทะเบียน หรือทะเบียนหย่า ของผู้ตาย
5.ทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวของทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคน